วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559




ที่มาของไฟฟ้า

ไฟฟ้า (กรีกήλεκτρονอังกฤษelectricity) เป็นชุดของปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ มีที่มาจากภาษากรีกซึ่งในสมัยนั้นหมายถึงผลจากสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเนื่องจากการปรากฏตัวและการไหลของประจุไฟฟ้า เช่นฟ้าผ่า, ไฟฟ้าสถิต, การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ ไฟฟ้ายังทำให้เกิดการผลิตและการรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่นคลื่นวิทยุ
พูดถึงไฟฟ้า ประจุจะผลิตสนามแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งจะกระทำกับประจุอื่น ๆ ไฟฟ้าเกิดขึ้นได้เนื่องจากหลายชนิดของฟิสิกซ์ดังต่อไปนี้
  1. ประจุไฟฟ้า (อังกฤษ: electric charge) เป็นคุณสมบัติของบางอนุภาคย่อยของอะตอม ที่กำหนดปฏิสัมพันธ์ทางแม่เหล็กไฟฟ้าของพวกมัน สสารที่มีประจุไฟฟ้าจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของ, และสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ประจุไฟฟ้าอาจเป็นบวกหรือเป็นลบ
  2. สนามไฟฟ้า (อังกฤษ: electric field) (ดูไฟฟ้าสถิต) ว่าด้วยกลุ่มประจุที่ถูกล้อมรอบด้วยสนามไฟฟ้าหนึ่ง สนามไฟฟ้าจะสร้างแรงหนึ่งขึ้นบนประจุอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟ้าจะเดินทางด้วยความเร็วแสง
  3. ศักย์ไฟฟ้า (อังกฤษ: electric potential) เป็นความจุของสนามไฟฟ้าหนึ่งที่จะทำงานบนประจุไฟฟ้า ปกติมีหน่วยเป็นโวลต์
  4. กระแสไฟฟ้า (อังกฤษ: electric current) ว่าด้วยการเคลื่อนไหวหรือการไหลของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ทั่วไปมีหน่วยเป็นแอมแปร์
  5. พลังงานไฟฟ้า (อังกฤษ: electric energy) เป็นพลังงานที่ได้จากพลังงานศักย์หรือพลังงานจลน์ ไฟฟ้าเมื่อถูกใช้อย่างหลวมๆจะใช้เพื่ออธิบายพลังงานที่ถูกดูดซับหรือถูกนำส่งโดยวงจรไฟฟ้าหนึ่ง (ยกตัวอย่างเช่น พลังงานที่จัดหามาให้จากโรงไฟฟ้า)
  6. แม่เหล็กไฟฟ้า : กลุ่มประจุที่กำลังเคลื่อนที่จะสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมาขนาดหนึ่ง กระแสไฟฟ้าก็สร้างสนามแม่เหล็ก และสนามแม่เหล็กที่กำลังเปลี่ยนแปลงก็สร้างกระแสไฟฟ้า
           

          พลังงานไฟฟ้าคืออะไร??

          พลังงานไฟฟ้า (อังกฤษelectrical energy) เป็นพลังงานที่ได้จากพลังงานศักย์หรือพลังงานจลน์ ไฟฟ้าเมื่อถูกใช้อย่างหลวมๆจะใช้เพื่ออธิบายพลังงานที่ถูกดูดซับหรือถูกนำส่งโดยวงจรไฟฟ้าหนึ่ง (ยกตัวอย่างเช่น พลังงานที่จัดหามาให้จากโรงไฟฟ้า) "พลังงานไฟฟ้า" อาจพูดถึงพลังงานที่ถูกแปลงมาจากพลังงานศักย์ไฟฟ้า พลังงานนี้ถูกจ่ายออกมาโดยการผสมกันของกระแสไฟฟ้ากับศักย์ไฟฟ้าโดยส่งออกมาในกริด (ไฟฟ้า) ณ จุดที่พลังงานศักย์ไฟฟ้านี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของพลังงาน มันจะไม่ได้เป็นพลังงานศักย์ไฟฟ้าอีกต่อไป ดังนั้น พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดเป็นพลังงานศักย์ก่อนที่มันจะถูกจัดส่งไปให้ผู้ใช้ปลายทาง หลังจากถูกเปลี่ยนจากพลังงานศักย์ พลังงานไฟฟ้าสามารถถูกเรียกเป็นพลังงานชนิดอื่นได้เสมอเช่นพลังงานความร้อน พลังงานแสงสว่าง พลังงานการเคลื่อนไหว ฯลฯ


วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในงานระบบไฟฟ้า

Cable
1. สายไฟฟ้า
การเลือกใช้สายไฟฟ้า
1.1 ใช้เฉพาะสายไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มีเครื่องหมาย มอก.11) เท่านั้น
1.2 สายไฟฟ้าชนิดที่ใช้เดินภายในอาคารห้ามนำไปใช้เดินนอกอาคาร เพราะแสงแดดจะทำให้ฉนวนแตกกรอบชำรุด สายไฟชนิดที่ใช้เดินนอกอาคารมักจะมีการเติมสารป้องกันแสงแดดไว้ในเปลือกหรือ ฉนวนของสาย สารป้องกันแสงแดดส่วนใหญ่ที่ใช้กันมากนั้นจะเป็นสีดำ แต่อาจจะเป็นสีอื่นก็ได้ การเดินร้อยในท่อก็มีส่วนช่วยป้องกันฉนวนของสายจากแสงแดดได้ในระดับหนึ่ง
  1.3 เลือกใช้ชนิดของสายไฟให้เหมาะสมกับสภาพการติดตั้งใช้งาน เช่น สายไฟชนิดอ่อนห้ามนำไปใช้เดินยึดติดกับผนังหรือลากผ่านบริเวณที่มีการกดทับ สาย เช่น ลอดผ่านบานพับประตูหน้าต่าง หรือตู้ เนื่องจากฉนวนของสายไม่สามารถรับแรงกดกระแทกจากอุปกรณ์จับยึดสายหรือบานพับ ได้ การเดินสายใต้ดินก็ต้องใช้ชนิดที่เป็นสายใต้ดิน (เช่น สายชนิด NYY) พร้อมทั้งมีการเดินร้อยในท่อเพื่อป้องกันสายใต้ดินไม่ให้เสียหาย เป็นต้น
   1.4 ขนาดของสายไฟฟ้า ต้องใช้สายตัวนำทองแดงและเลือกให้เหมาะสมกับขนาดแรงดันไฟฟ้า(1 เฟส หรือ 3 เฟส) ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้งาน และสอดคล้องกับขนาดของฟิวส์หรือสวิตช์อัตโนมัติ (เบรกเกอร์) ที่ใช้ สำหรับขนาดสายเมนและสายต่อหลักดินนั้นก็ต้องสอดคล้องกับขนาดของเมนสวิตช์และ ขนาดของเครื่องวัดฯ ด้วย ตามตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1 ขนาดสายไฟฟ้าตามขนาดของเมนสวิตช์
1.5 ขนาดของสายต่อหลักดิน ต้องมีขนาดไม่เล็กกว่าที่กำหนดไว้ในตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 2 ขนาดต่ำสุดของสายต่อหลักดิน
หมายเหตุ การเลือกขนาดสายต่อหลักดิน โดยพิจารณาจากขนาดตัวนำประธาน (สายเมน) ของระบบไฟฟ้า
1.6 มาตรฐานสีของฉนวนไฟฟ้า
2. มิเตอร์ไฟฟ้า เป็นเครื่องวัดพลังงานไฟฟ้าที่เราใช้ในเดือนหนึ่ง ๆ โดยมีมอเตอร์ที่มาตรไฟฟ้าคอยหมุนตัวเลขบอกค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไปเป็นกี่ กิโลวัตต์/ชั่วโมง หรือยูนิต หรือหน่วย
3.  เมนสวิตช์ เป็นอุปกรณ์ตัวหลักที่ใช้ตัดต่อวงจรไฟฟ้าของสายเมนเข้าอาคารกับสายภายในทั้ง หมด จึงเป็นอุปกรณ์สับ-เปลี่ยนวงจรไฟฟ้าตัวแรกถัดจากมิเตอร์วัดหน่วยไฟฟ้าเข้ามา ในบ้าน เมนสวิตช์อาจเป็นอุปกรณ์ตัดไฟหลักตัวเดียว หรือจะอยู่รวมกับอุปกรณ์อื่นๆในตู้แผงสวิตช์
4. สวิตช์ตัดไฟอัตโนมัติ (เซอร์กิตเบรคเกอร์) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถใช้ตัดหรือต่อวงจรไฟฟ้าได้ในขณะใช้งานปกติ และยังสามารถตัดกระแสไฟฟ้าเกินหรือกระแสไฟฟ้าลัดวงจรโดยอัตโนมัติได้ด้วย ทั้งนี้การเลือกใช้เบรกเกอร์จะต้องเลือกขนาดพิกัดในการตัดกระแสลัดวงจร (IC) ของเบรกเกอร์ให้สูงกว่าขนาดกระแสลัดวงจรที่เกิดขึ้นในวงจรนั้นๆ

5. ฟิวส์ (Fuse) เป็นอุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟฟ้าเกินชนิดหนึ่งทำหน้าที่ตัดไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลเกินค่าที่กำหนด ซึ่งเมื่อฟิวส์ทำงานแล้วจะต้องเปลี่ยนฟิวส์ใหม่ ฟิวส์ที่ใช้เปลี่ยนต้องมีขนาดกระแสไม่เกินขนาดฟิวส์เดิม และต้องมีขนาดพิกัดการตัดกระแสลัดวงจร (IC) สูงกว่าขนาดกระแสลัดวงจรสูงสุดที่ไหลผ่านฟิวส์
6. เครื่องตัดไฟรั่วหรือเครื่องตัดวงจร เมื่อมีกระแสไฟฟ้ารั่วลงดินเป็นสวิตช์อัตโนมัติที่สามารถปลดวงจรเมื่อมี กระแสไฟฟ้ารั่วได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้เครื่องตัดไฟรั่วมัก จะเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อใช้ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด โดยเฉพาะจะใช้ได้ดีเมื่อใช้กับระบบไฟฟ้าที่มีสายดินอยู่แล้วและจะช่วย ป้องกันอัคคีภัยจากไฟฟ้ารั่วได้อีกด้วย เครื่องตัดไฟรั่วนี้จะต้องมีปุ่มสำหรับกดเพื่อทดสอบการทำงานอยู่เสมอ
7. หลักดิน (Ground Rod หรือ Grounding Electrode หรือ Earth Electrode) เป็นแท่งหรือแผ่นโลหะที่ฝังอยู่ในดิน เพื่อทำหน้าที่แพร่หรือกระจายประจุไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้าให้ไหลลงสู่ดินได้โดย สะดวก วัตถุที่จะนำมาใช้เป็นหลักดิน เช่น แท่งทองแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 มิลลิเมตร (5/8 นิ้ว) ความยาวมาตรฐานต้องยาวไม่น้อยกว่า 2.40 เมตร เป็นต้น
8.  ตุ้มหรือลูกถ้วย เป็นอุปกรณ์ที่ใช้รองรับสายไฟ ทำหน้าที่เป็นฉนวนและป้องกันมิให้กระแสไฟฟ้ารั่วลงดินหรือลัดวงจรลงดิน
9.  หลอดไฟฟ้า  (Lamp)  ทำหน้าที่ให้แสงสว่างสำหรับสถานที่ปฏิบัติงาน หรือที่อยู่อาศัย การติดตั้งระบบส่องสว่างควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ  ในการจัดแสง และสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งนั้นก็คือการเลือกประเภทและชนิดของหลอดไฟฟ้า  โดยปกติทั่วหลอดไฟฟ้าไปแบ่งออกได้เป็น 3  ประเภทคือ
9.1  หลอดไฟฟ้าชนิดมีไส้  (Filament  Lamp)  เป็นหลอดไฟฟ้าที่นิยมใช้ในรุ่นแรก ๆ หรือบางที่ก็เรียกว่าหลอดธรรมดา  องค์ประกอบของหลอดประกอบด้วย  หลอดแก้ว, ไส้หลอด, (ส่วนไส้หลอดทำจากทังสเตน) เส้นลวดที่ต่อเข้ากับขั้วหลอด,  ลวดยึดไส้หลอด,และก้านหลอดยึดไส้,  ปัจจุบันนิยมใช้ไม่มากนักเพราะให้กำลังส่องสว่างน้อยกว่าหลอดประเภทอื่น
ในกรณีกำลังวัตต์เท่ากัน  มีจำหน่วยในท้องตลาดมีหลายขนาด  เช่น  40วัตต์  60วัตต์  80วัตต์  100วัตต์ ฯลฯ  อายุการใช้งานประมาณ 1000 ชั่วโมง  หลอดประเภทนี้มีอยู่ 2 ลักษณะ คือชนิด แบบเขี้ยว และชนิดแบบเกลียว
    9.2   หลอดไฟฟ้าชนิดเรืองแสง (Fluorescent Lamp) หรือเรียกว่า หลอดฟลูออเรสเซนต์หลอดไฟฟ้าประเภทนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่าหลอดไฟฟ้าธรรมดา ถึง 4 เท่า ให้แสงสว่างที่เย็นตามากกว่า รวมทั้งอุณหภูมิความร้อนที่เกิดขึ้นจากหลอดน้อยกว่า  ส่วนประกอบที่สำคัญของหลอดประกอบด้วย
  1)  ตัวหลอด
2)  ขั้วหลอด
  3)  ไส้หลอด
  4)  สารบรรจุภายในหลอด  เช่น อาร์กอน  และไอปรอท
หลอดไฟฟ้าชนิดฟลูออเรสเซนต์ที่จำหน่วยในท้องตลาด มีหลายลักษณะเช่น  หลอดฟลูออเรสเซนต์ ธรรมดา  หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบวงกลม (32 วัตต์)  แบบยาวตรง (18,36 วัตต์)  และหลอดฟลูออเรสเซนต์ แบบคอมแพค (Compact)   หรือหลอดตะเกียบ
 9.3  หลอดไฟฟ้าชนิดอาศัยการอาร์ค  หรือหลอดไฟชนิดคายประจุ  หลอดประเภทนี้ใช้กระแสไฟฟ้ามากในการทำงานไม่นิยมใช้ในบ้านเรือนทั่วไป  ส่วนใหญ่จะใช้เฉพาะจุดหรือพื้นที่ต้องการแสงสว่างมาก ๆ  หลอดไฟฟ้าชนิดนี้มีหลายแบบ เช่น หลอดไอปรอท หลอดฮาโลเจน หลอดโซเดียม หรือหลอดแสงจันทร์
แสงสีของหลอด  สีมีอิทธิพลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของมนุษย์  แสงที่ส่องกระทบวัตถุสามารถทำให้สีของวัตถุเปลี่ยนได้  ถ้าเลือกสีได้ถูกต้องจะทำให้มองสีของวัตถุไม่ผิดเพี้ยน  และยังช่วยเพิ่มบรรยากาศในการทำงานได้ด้วย  หลอดฟลูออเรสเซนต์จึงมีแสงสีต่าง ๆ  หลายสีเพื่อให้เลือกใช้ตรงกับต้องการของงาน
แสงที่เรียกว่า เดย์ไลท์(DAY  LIGHT) เป็นแสงที่มีสีใกล้เคียงกับสีของแสงแดด  ทำให้การมองเห็นวัตถุที่ส่องด้วยแสงเดย์ไลท์เหมือนกับที่มองตอนกลางวัน  ในบางประเทศที่ไม่ค่อยมีแสงแดดจะนิยมใช้หลอดชนิดนี้เพื่อให้ความรู้สึกว่ามี แสงแดด
               หลอดวอร์มไวท์   (WARM  WHITE)  สี ของแสงจะออกไปทางแดงปนเหลืองให้ความรู้สึกอบอุ่น  ในประเทศหนาวนิยมใช้สีนี้ในบางสถานที่  เช่น  ห้องนั่งเล่น  เพื่อให้ความรู้สึกอบอุ่น  ช่วยให้ลดความรู้สึกหนาวได้บ้าง  วัตถุที่ส่องด้วยแสงสีนี้จะมีสีเพี้ยนไปบ้าง
หลอดคูลไวท์   (COOL  WHITE)  สีของแสงอยู่ระหว่างหลอดเดย์ไลท์กับหลอดวอร์มไวท์  ให้สีที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ  นิยมใช้งานทั่วไป  เหมาะที่จะใช้ในสถานที่ทำงานต่าง ๆ  และในห้างสรรพสินค้า
               หลอดแบล๊คไลท์   (BLACK  LIGHT)  เป็น หลอดที่มีหลอดเป็นแก้วสีดำ  ให้แสงที่ตามองไม่เห็น  แต่เมื่อไปกระทบกับวัตถุสีขาวจะสะท้อนแสงนวลสวยงามนิยมใช้ตามร้านอาหาร  ภัตตาคาร  และสถานที่ที่มีการแสดงในเวลากลางคืนหลอดชนิดนี้จะแผ่รังสีไวโอเลตในปริมาณ สูงซึ่งเป็นอันตรายต่อสายตาและผิวหนัง  จึงไม่ควรใช้เป็นเวลานาน ๆ
        10.  สตาร์ทเตอร์   ทำหน้าที่คล้ายเป็นสวิทช์ อัตโนมัติ  เพื่อเปิดและปิดวงจรของหลอด ฟลูออเรสเซนต์  เมื่อเริ่มต้นทำงานสตาร์ทเตอร์ทำหน้าที่เปิดวงจรเพื่ออุ่นไส้หลอดให้พร้อม ที่จะทำงาน  เมื่อไส้หลอดทำงานเรียบร้อยแล้วสตาร์ทเตอร์ก็ปิดวงจร
11.  บัลลาส   ทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟฟ้าให้เหมาะ สมกับหลอดซึ่งแรงดันไฟฟ้าในตอนเริ่มต้นจะสูงมาก  เพื่อจุดไส้หลอดให้ปลดปล่อยอิเลคตรอนออกมา  หลังจากหลอดทำงานแล้ว    บัลลาสจะเปลี่ยนหน้าที่โดยจะเป็นตัวจำกัดปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าหลอด
        12. เต้ารับ (Socket-outlet หรือ Receptacle) หรือปลั๊กตัวเมียคือขั้วรับสำหรับหัวเสียบจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ปกติเต้ารับจะติดตั้งอยู่กับที่ เช่น ติดอยู่กับผนังอาคาร เป็นต้น
        13.  เต้าเสียบ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อวงจรไฟฟ้า ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยนำปลายของสายไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต่ออยู่กับเต้าเสียบ
ไปเสียบกับเต้ารับ ที่ต่ออยู่ในวงจรไฟฟ้าใดๆ ก็ได้ภายในบ้าน
        14. สวิตช์เปิด-ปิดธรรมดา (Toggle Switch) สวิตช์เปิด-ปิดในที่นี้ หมายถึงสวิตช์สำหรับเปิด-ปิดหลอดไฟหรือโคมไฟสำหรับแสงสว่างหรือเครื่องใช้ ไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ ที่มีการติดตั้งสวิตช์เอง
อุปกรณ์และวัสดุสำหรับงานเดินสายไฟฟ้า
        1.  เข็มขัดรัดสาย  หรือที่เรียกทั่วไปว่า  คลิป  (clip)  หรือ กิ๊ป  ผลิตจากอะลูมิเนียมขึ้นรูปเป็นแผงบางๆแต่มีความเหนียว มีหลายขนาด  เช่น เบอร์ ¾, 0, 1, 1 ½,  2,  2 ½, 3, 4, 5 และเบอร์ 6 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด   ตั่งแต่ เบอร์ 3 ถึง เบอร์ 6  จะมีขนาดสองรู  ขนาดอื่นๆ จะมีรูเดียว
2.  ตะปู  ขนาด 3/8  นิ้ว, 5/16 นิ้ว  ใช้ตอกบนอาคารฉาบปูน  และขนาด ½  นิ้ว สำหรับตอกบนอาคารที่เป็นไม้
3.  พุก (fixer)  ใช้งานคู่กับสกรูเพื่อให้การจับยึดอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้าต่าง ๆ มีความแข็งแรง พุก ที่ใช้งานทั่ว มี 3 แบบ คือ
3.1 พุกพลาสติก  ใช้กับงานติดตั้งขนาดเล็ก  เช่น  ติดตั้งแป้นไม้ แผงคัทเอ้าท์  จะใช้พุกขนาด  M7 (เอ็ม-เจ็ด)  กล่าวคือ  ต้องใช้อดอกสว่านขนาด 7 มิล และใช้สกรูขนาด 5-6 มม.  นอกจากนี้ยังมีขนาดอื่นๆ เช่น M8 จะโตกว่า M7
3.2 พุกตะกั่ว  ใช้กับงานขนาดกลาง  เนื่องจากทนแรงกดและน้ำหนักได้ดีกว่า เช่นการติดตั้งตู้โหลดเซนเตอร์
3.3 พุกเหล็ก  หรือที่เรียกว่า  โบลว์  (bolt) ใ ช้กับงานที่ต้องการความแข็งแรงทุกประเภทเนื่องจากรับน้ำหนักได้ดี  แต่มีราคาแพง
4. สกรู  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  ตะปูเกลียวปล่อย  มีสองชนิดคือ  ชนิดหัวแฉกและชนิดหัวแบน
5. แป้นไม้  ใช้สำหรับรองรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ มีหลายขนาด อาทิ เช่น 4 × 6 นิ้ว 8 × 10  นิ้ว เป็นต้น ปัจจุบันมีการผลิตแป้นพลาสติกออกมาใช้งานควบคู่กับแป้นไม้ ได้รับความนิยมใกล้เคียงกัน
6.  เทปพันสายไฟ   เป็นเทปพลาสติคหรือผู้ทำ หน้าที่เป็นฉนวนใช้พันสายไฟบริเวณจุดต่อของสายเพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร  ซึ่งเทปที่ดีควรเป็นฉนวนที่ดี อ่อน  เหนียว และกาวของเทปมีความเหนียวคงทน  เมื่อพันสายไฟแล้วแนบกับสายได้ดี
        7.เคเบิ้ลไทร์(Cable Ties) เข็มขัดรัดสายไฟ, สายรัดไนล่อนเอนกประสงค์ สายรัดในล่อน เอนกประสงค์
        8. ตลับแยกสาย  มีลักษณะกลมมีฝาเกลียวปิด  หรือเป็นกล่องพลาสติคสี่เหลี่ยมจัตุรัส สามารถเจาะรูออกรอบ ๆ ได้  4 รู  ตลับแยกสายมีไว้สำหรับต่อสายภายในตลับ  เพื่อให้ดูเรียบร้อยสวยงาม ในการต่อแยกสายไปใช้หลายจุด  เช่น ปลั๊ก  สวิทช์  ดวงโคม ฯลฯ  แต่ในปัจจุบันตลับแยกสายไม่เป็นที่นิยมในการต่อจุดแยก  ส่วนใหญ่จะนิยมเชื่อมต่อวงจรภายในแผงสวิทช์หรือปลั๊กแทน
9.   แป้นไม้, แป้นพลาสติค    ทำด้วยไม้หรือพลา สติค  ทรงสี่เหลี่ยมมีหลายขนาด เช่น   8 นิ้ว x 10นิ้ว , 10นิ้ว x 12นิ้ว , 6 นิ้ว x 8 นิ้ว , ฯลฯ ใช้สำหรับติดตั้งหรือรองอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น สวิทช์  ปลั๊ก  เบรกเกอร์  คัทเอาท์  ฯลฯ  ในบางกรณีแป้นไม้ หรือ พลาสติคสามารถใช้แทนตลับแยกสาย
10.  บ๊อกสวิทช์,ปลั๊ก    สำหรับติดตั้งหน้ากาก สวิทช์และปลั๊ก  แยกได้เป็น  2  ลักษณะคือ  บ๊อกใช้สำหรับฝังในผนังปูน อาจทำด้วยเหล็กหรือพลาสติค และอีกประเภทหนึ่งคือ บ๊อกติดภายนอกผนังปูน  (บ๊อกลอย)  ส่วนใหญ่ทำด้วยพลาสติค
11.  หน้ากาก  สวิทช์-ปลั๊ก  สำหรับติดตั้งสวิทช์และปลั๊ก  ปัจจุบันเป็นที่นิยมเพราะติดตั้งได้ง่าย เรียบร้อยกว่าสวิทช์-ปลั๊ก รุ่นแรก ๆ แยกได้  3 ลักษณะ คือ  หน้ากาก 1 ช่อง,  หน้ากาก 2 ช่องและหน้ากาก 3 ช่อง  ใน 1 ช่องนั้น สามารถติดปลั๊กหรือสวิทช์ได้เพียง 1 ตัวเท่านั้น
12. ท่อสำหรับเดินสายไฟ   เป็นท่อ P.V.C  สำหรับใส่สายไฟเข้าไปภายใน  ปัจจุบันนิยมใช้ท่อเดินสายไฟภายในอาคารเพราะสะดวกในการติดตั้ง และสามารถซ่อมแซมระบบสายไฟได้ง่าย  มีหลายขนาด  ที่นิยมใช้ คือขนาด 20 มิลลิเมตร 25 มิลลิเมตร และ 30 มิลลิเมตร  ลักษณะของท่อ P.V.C  ที่ใช้สำหรับงานไฟฟ้ามี 2 สี   คือ ท่อสีขาว  สำหรับเดินสายไฟภายในอาคารทั่วไป  ท่อสีเหลือง เหมาะสำหรับเดินสายไฟฟ้าฝังดินหรือเดินสายไฟภายในโรงงาน
13.  อุปกรณ์สำหรับท่อเดินสายไฟ  อุปกรณ์ที่ กล่าวถึงในที่นี้เป็นอุปกรณ์ทั่วไป  สำหรับการติดตั้งระบบการเดินสายไฟฟ้าแบบปิด (ร้อยท่อ)  ทำหน้าที่ในการยึด-ต่อ อุปกรณ์และท่อเข้าด้วยกัน  เพื่อให้แข็งแรงและสวยงาม เช่น
13.1  ข้อต่อตรง  สำหรับต่อท่อเข้าด้วยกัน
13.2  คอนเนกเตอร์  สำหรับต่ออุปกรณ์และท่อเข้าด้วยกัน
13.3  ข้อต่ออ่อน  สำหรับต่อท่อที่เยื้องหรืออยู่คนละแนวกัน
13.4  ข้องอ  สำหรับต่อท่อที่หักเลี้ยวเป็นมุมฉาก
13.5  สามทาง  สำหรับต่อแยกท่อได้  3  ทาง
13.6  เข็มขัดรัดท่อ  สำหรับยึดท่อ
รีซิสเตอร์ ( Resistors )หรือตัวต้านทาน เรียกย่อว่า R (อาร์)

             รีซิสเตอร์ เป็นอุปกรณ์ อิเลคโทรนิคส์ ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งที่อยู่ในวงจร อิเลคโทรนิคส์ทั่วไป
รีซิสเตอร์ แต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันออกไปทั้งรูปร่างและหน้าตา 

แต่ คุณสมบัติ หรือหน้าที่ของ อาร์ มีเหมือนกันคือ ทำหน้าที่เป็นตัวต้านทานแรงดันทางไฟฟ้า หรือศัพท์ทางเทคนิคเราเรียกว่า  ดรอพโวลท์เตจ ( Drop Voltage ) ให้ต่ำลง โดยใช้ อารื ต่อเข้ากับวงจร 
เช่น ถ้าต่อแบบอันดับ รีซิสเตอร์ที่มีค่ามาก จะยอมให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าไหลผ่านได้น้อย เรียกว่า ดรอพมาก ในทางกลับกันถ้า รีซิสเตอร์ที่มีค่าน้อยจะยอมให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าไหลผ่านได้มาก 
 เรียก ว่า ดรอพน้อย  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกระแสไฟที่ไหลในวงจร และคุณสมบัติในการออกแบบในวงจรว่าตรงจุดนั้นวิศวกรต้องการให้มีการไหลของแรง เคลื่อนไฟฟ้าเท่าใด





รีซิสเตอร์แบ่งออกได้เป็น  4 ประเภทคือ

1.รีซิสเตอร์ค่าคงที่  (Fixed Resistors) เป็นชนิดที่มีค่าความต้านทานคงที่แน่นอนส่วนใหญ่อยู่ในแผงวงจร
2.รี ซิสเตอร์แบบเลือกค่าได้ หรือ แทป รีซิสเตอร์ (  Tapped Resistor ) จะมีแทปออกมาหลายขั้วใช้เลื่อนขึ้นเลื่อนลง บางคนนิยมเรียกว่า อาร์ สไลด์ ที่เห็นชัดคือ ที่ปรับเสียงสูงต่ำในวงจรอีควอไลเซอร์
3. รีซิสเตอร์แบบปรับค่าได้ หรือวาริเอเบิ้ลรีซิสเตอร์ ( Variable Resistor ) เรียกย่อว่า วีอาร์ VR  ใช้ในวงจรปรับลดเสียงหรือคนทั่วไปมักเรียกว่า วอลลุ่ม ในวงจรเครื่องเสียงทั่วไปนี่เอง

4.รี ซิสเตอร์ชนิดพิเศษ ( Special Resistor ) ถูกออกแบบมาให้มีความไวต่อความร้อนมี 2 ชนิดคือ แอลดีอาร์ และเทอร์มิสเตอร์ ใช้ในวงจรเซ็นเซอร์




 แผงวงจรอิเลคทรอนิคส์ จะเห็นว่ามีรีซิสเตอร์ที่มีแถบสีแบบ 5 สี




รี ซิสเตอร์แบบค่าคงที่ จะมีทั้งแบบ 4 สี และ 5 สี แบบ 5 สีจะมีคุณภาพดีกว่า เราจะสังเกตุเห็นว่าทั้ง 4 สี จะแต้มไว้ใกล้กัน นั่นคือค่าของรีซิสเตอร์ตัวนี้ ส่วนสี ขวามือสุด เป็นสีแสดงค่าความผิดพลาดของ อาร์ตัวนี้ ในรูปคือสี น้ำตาล หมายถึงค่าความผิดพลาด 1 % เราจะอ่านค่าสีจากซ้ายไปขวาด้านที่สีชิดกัน



รีซิสเตอร์แบบ 4 สี ตัวบนสุด สีแรกคือ น้ำตาล หมายถึง 1 สีที่2คือน้ำเงิน หมายถึงเลข 6 สีที่3 คือแดงคือ เลข 0สองตัวคือ  00

ดังนั้นเมื่อถอดรหัสสี อาร์ตัวนี้จะได้ 1600 โอห์ม หรือ 1.6 kหรือ 1.6 กิโลโอห์ม ขนาด 1 วัตต์

 ตารางการอ่านค่าสีรีซิสเตอร์ทั้งแบบ 4 สี  5 สี  และ 6 สี มีดังรูปด้านบนนี้






รีซิสเตอร์แบบไวว์วาวด์

การต่อรีซิสเตอร์มีอยู่ 2 แบบคือ

1 แบบอนุกรมหรืออันดับ

2.แบบขนาน

รีซิสเตอร์ไม่มีขั้ว บวกลบ เวลาต่อใช้งานดูจากค่าของรีซิสเตอร์และขนาดทนวัตต์เท่าเดิมและเป็นประเภทเดิมไม่ควรดัดแปลงค่า

อาการเสียของรีซิสเตอร์มีดังนี้

1.ยืด ค่าหรือเพิ่มค่า ( คือค่าของรีซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นจากเดิม เช่นค่าสีอยู่ที่ 100 โอห์ม อาจเพิ่มเป้น 200 โอห์มหรือสูงขึ้นถึง 1 เคโอห์ม )

2 ขาด เกิดจากการที่รองรับการไหลของกรแสไม่ไหวจะทำให้เส้นลวดภายในโครงสร้างขาด ทำให้มีผลต่อวงจรโดยรวม

( รีซิสเตอร์ไม่มีอาการชอร์ทเด็ดขาด แม้บางครั้งตัวมันจะไหม้ ก็จะเสีย 2 อย่างนี้เท่านั้น


          ทรานซิสเตอร์ (TRANSISTOR) คือ สิ่งประดิษฐ์ทำจากสารกึ่งตัวนำมีสามขา (TRREE LEADS) กระแสหรือแรงเคลื่อน เพียงเล็กน้อยที่ขาหนึ่งจะควบคุมกระแสที่มีปริมาณมากที่ไหลผ่านขาทั้งสองข้างได้ หมายความว่าทรานซิสเตอร์เป็นทั้งเครื่องขยาย (AMPLIFIER) และสวิทซ์ทรานซิสเตอร์
ทรานซิสเตอร์ชนิดสองรอยต่อเรียกด้ายตัวย่อว่า BJT (BIPOLAR JUNCTION TRANSISTOR) ทรานซิสเตอร์ (BJT) ถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย เช่น วงจรขยายในเครื่องรับวิทยุและเครี่องรับโทรทัศน์หรือนำไปใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่เป็นสวิทซ์ (Switching) เช่น เปิด-ปิด รีเลย์ (Relay) เพื่อควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ เป็นต้น
         โครงสร้างของทรานซิสเตอร์  ทรานซิสเตอร์ชนิดสองรอยต่อหรือ BJT นี้ ประกอบด้วยสารกึ่งตัวนำชนิดพีและเอ็นต่อกัน โดยการเติมสารเจือปน (Doping) จำนวน 3 ชั้นทำให้เกิดรอยต่อ (Junction) ขึ้นจำนวน 2 รอยต่อ การสร้างทรานซิสเตอร์จึงสร้างได้ 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีสารชนิด N 2 ชั้น เรียกว่าชนิด NPN และชนิดที่มีสารชนิด P 2 ชั้น เรียกว่าชนิด PNP โครงสร้างของทรานซิสชนิด NPN และชนิด PNP แสดงดังรูป









           เมื่อพิจารณาจากรูปจะเห็นว่าโครงสร้างของทรานซิสเตอร์จะมีสารกึ่งตัวนำ 3 ชั้น แต่ละชั้นจะต่อลวดตัวนำจากเนื้อสารกึ่งตัวนำไปใช้งาน ชั้นที่เล็กที่สุด (บางที่สุด) เรียกว่า เบส (Base) ตัวอักษรย่อ B สำหรับสารกึ่งตัวนำชั้นที่เหลือคือ คอลเลกเตอร์ (collector หรือ c) และอิมิตเตอร์ (Emitter หรือ E) นั่นคือทรานซิสเตอร์ทั้งชนิด NPN จะมี 3 ขา คือ ขาเบส ขาคอลเลกเตอร์ ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์นิยมเขียนทรานซิสเตอร์แทนด้วยสัญลักษณ์ดังรูป

  แอลดีอาร์ (light dependent resistor, LDR)

         แอลดีอาร์เป็นตัวต้านทานที่ความต้านทานขึ้นกับความสว่างของแสงที่ตกกระทบแอลดีอาร์มีความต้านทานสูงในที่มืด แต่มีความต้านทานต่ำในที่สว่างจึงเป็น ตัวรับรู้ความสว่าง (light sensor) ในวงจรอิเล็กทรอนิคส์สำหรับควบคุมการปิด-เปิดสวิตช์ด้วยแสง

 

 ไดโอด (diode)

   ไดโอดทำจากสารกึ่งตัวนำ มีลักษณะและสัญลักษณ์ดังรูป ไดโอดมีขั้วไฟฟ้าบวกและขั้วไฟฟ้าลบ เมื่อนำไดโอด แบตเตอร์รี่และแอมมิเตอร์มาต่อเป็นวงจรโดยต่อขั้วบวกและขั้วลบของแบตเตอรี่กับขั้วไฟฟ้าบวกและขั้วไฟฟ้าลบของไดโอดตามลำดับ จะพบว่า มีกระแสไฟฟ้าในวงจร การต่อลักษณะนี้ เรียกว่า
ไฟแอสตรง เมื่อสลับขั้วไดโอด จะพบว่า ไม่มีกระแสไฟฟ้าในวงจร การต่อลักษณะนี้เรียกว่า ไบแอสกลับ 

 
การต่อไดโอดในวงจรไฟฟ้า

          จะเห็นว่า ขณะไบแอสตรง มีกระแสไฟฟ้าในวงจร แสดงว่า ไดโอดมีความต้านทานน้อย แต่ขณะไบแอสกลับ ไม่มีกระแสไฟฟ้าในวงจร แสดงว่า ไดโอดมีความต้านทานสูงมาก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า     ไดโอดยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ทิศเดียว จากสมบัตินี้จึงใช้ไดโอดแปลงไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรง
สรุป
ระบบไฟฟ้าเป็นระบบที่มีความสำคัญในบ้านทุกบ้าน การเลือกใช้ระบบไฟฟ้า การเดินสายไฟ ชนิดของสายไฟ และอุปกรณ์ติดตั้งทางไฟฟ้าให้เหมาะสมกับลักษณะของงาน เป็นเรื่องที่ผู้ใช้ต้องมีความรู้พื้นฐาน เพื่อนำไปสู่การพิจารณาเลือกใช้ให้คุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดเป็นการช่วย ประหยัดพลังงานและยังมีผลดีต่อส่วนรวมของประเทศในแง่ของการอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในด้านการลดภาวะโลกร้อนได้
วงจรไฟฟ้า
วงจรไฟฟ้า หมายถึง ทางเดินของกระแสไฟฟ้าซึ่งไหลมาจากแหล่งกำเนิดผ่านตัวนำ และเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลด แล้วไหลกลับไปยัง  แหล่งกำเนิดเดิม
                        วงจรไฟฟ้าประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 3 ส่วน คือ
   1. แหล่งกำเนิดไฟฟ้า หมายถึง แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าไปยังวงจรไฟฟ้า เช่นแบตเตอรี่
   2. ตัวนำไฟฟ้า หมายถึง สายไฟฟ้าหรือสื่อที่จะเป็นตัวนำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งต่อระหว่างแหล่งกำเนิดกับเครื่องใช้ไฟฟ้า
   3. เครื่องใช้ไฟฟ้า หมายถึง เครื่องใช้ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานรูปอื่น ซึ่งจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โหลด      สวิตซ์ไฟฟ้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้า มีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ถ้าไม่มีสวิตซ์ไฟฟ้าก็จะไม่มีผลต่อการทำงานวงจรไฟฟ้าใดๆ เลย
                        การต่อวงจรไฟฟ้าสามารถแบ่งวิธีการต่อได้ 3 แบบ คือ
   1. วงจรอนุกรม เป็นการนำเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดหลายๆ อันมาต่อเรียงกันไปเหมือนลูกโซ่ กล่าวคือ ปลายของเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวที่ 1 นำไปต่อกับต้นของเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวที่ 2 และต่อเรียงกันไปเรื่อยๆ จนหมด แล้วนำไปต่อเข้ากับแหล่งกำเนิด การต่อวงจรแบบอนุกรมจะมีทางเดินของกระแสไฟฟ้าได้ทางเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวใดตัวหนึ่งเปิดวงจรหรือขาด จะทำให้วงจรทั้งหมดไม่ทำงาน
                       คุณสมบัติที่สำคัญของวงจรอนุกรม
1. กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านเท่ากันตลอดวงจร
2. แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมส่วนต่างๆ ของวงจร เมื่อนำมารวมกันแล้วจะเท่ากับแรงดันไฟฟ้าที่แหล่งกำเนิด
3. ความต้านทานรวมของวงจร จะมีค่าเท่ากับผลรวมของความต้านทานแต่ละตัวในวงจรรวมกัน
   2. วงจรขนาน เป็นการนำเอาต้นของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกๆ ตัวมาต่อรวมกัน และต่อเข้ากับแหล่งกำเนิดที่จุดหนึ่ง นำปลายสายของทุกๆ ตัวมาต่อรวมกันและนำไปต่อกับแหล่งกำเนิดอีกจุดหนึ่งที่เหลือ ซึ่งเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละอันต่อเรียบร้อยแล้วจะกลายเป็นวงจรย่อย กระแสไฟฟ้าที่ไหลจะสามารถไหลได้หลายทางขึ้นอยู่กับตัวของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำมาต่อขนานกัน ถ้าเกิดในวงจรมีเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวหนึ่งขาดหรือเปิดวงจร เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เหลือก็ยังสามารถทำงานได้ ในบ้านเรือนที่อยู่อาศัยปัจจุบันจะเป็นการต่อวงจรแบบนี้ทั้งสิ้น
                       คุณสมบัติที่สำคัญของวงจรขนาน
1. กระแสไฟฟ้ารวมของวงจรขนาน จะมีค่าเท่ากับกระแสไฟฟ้าย่อยที่ไหลในแต่ละสาขาของวงจรรวมกัน
2. แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมส่วนต่างๆ ของวงจร จะเท่ากับแรงดันไฟฟ้าที่แหล่งกำเนิด
3. ความต้านทานรวมของวงจร จะมีค่าน้อยกว่าความต้านทานตัวที่น้อยที่สุดที่ต่ออยู่ในวงจร
   3. วงจรผสม เป็นวงจรที่นำเอาวิธีการต่อแบบอนุกรม และวิธีการต่อแบบขนานมารวมให้เป็นวงจรเดียวกัน ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะของการต่อได้       2 ลักษณะดังนี้
3.1 วงจรผสมแบบอนุกรม-ขนาน เป็นการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดไปต่อกันอย่างอนุกรมก่อน แล้วจึงนำไปต่อกันแบบขนานอีกครั้งหนึ่ง
3.2 วงจรผสมแบบขนาน-อนุกรม เป็นการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดไปต่อกันอย่างขนานก่อน แล้วจึงนำไปต่อกันแบบอนุกรมอีกครั้งหนึ่ง
                         คุณสมบัติที่สำคัญของวงจรผสม
เป็นการนำเอาคุณสมบัติของวงจรอนุกรม และคุณสมบัติของวงจรขนานมารวมกัน ซึ่งหมายความว่าถ้าตำแหน่งที่มีการต่อแบบอนุกรม ก็เอาคุณสมบัติ      ของวงจรการต่ออนุกรมมาพิจารณา ตำแหน่งใดที่มีการต่อแบบขนาน ก็เอาคุณสมบัติของวงจรการต่อขนานมาพิจารณาไปทีละขั้นตอน
                         ความแตกต่างของวงจรเปิด-วงจรปิด
   1. วงจรเปิด คือวงจรที่กระแสไฟฟ้าไม่สามารถไหลได้ครบวงจร ซึ่งเป็นผลทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต่ออยู่ในวงจรไม่สามารถจ่ายพลังงานออกมาได้สาเหตุของวงจรเปิดอาจเกิดจากสายหลุด สายขาด สายหลวม สวิตซ์ไม่ต่อวงจร หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุด เป็นต้น
   2. วงจรปิด คือวงจรที่กระแสไฟฟ้าไหลได้ครบวงจร ทำให้โหลดหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต่ออยู่ในวงจรนั้นๆ ทำงาน
                          ความหมายทางไฟฟ้า
   1. แรงดันไฟฟ้า หรือแรงเคลื่อนไฟฟ้า หมายถึงแรงที่ดันให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านความต้านทานของวงจรไปได้ ใช้แทนด้วยตัว E มีหน่วยวัดเป็น    โวลท์ (V)
   2. กระแสไฟฟ้า หมายถึงการเคลื่อนที่ของอิเล็คตรอนอิสระจากอะตอมหนึ่งไปยังอะตอมหนึ่ง จะไหลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความต้านทานของวงจร      ใช้แทนด้วยตัว I มีหน่วยวัดเป็นแอมแปร์ (A)
   3. ความต้านทานไฟฟ้า หมายถึงตัวที่ต้านการไหลของกระแสไฟฟ้าให้ไหลในจำนวนจำกัด ซึ่ง อยู่ในรูปของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เช่น แผ่นลวดความร้อนของเตารีด หม้อหุงข้าว หลอดไฟฟ้า เป็นต้น เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ต้านการไหลของกระแสไฟฟ้าให้ไหลในจำนวนจำกัด ใช้แทนด้วยตัว    R  มีหน่วยวัดเป็นโอห์ม (W )
   4. กำลังงานไฟฟ้า หมายถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงพลังงาน หรืออัตราการทำงาน ได้จากผลคูณของแรงดันไฟฟ้ากับกระแสไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัว P มีหน่วยวัดเป็นวัตต์ (W)
   5. พลังงานไฟฟ้า หมายถึงกำลังไฟฟ้าที่นำไปใช้ในระยะเวลาหนึ่ง มีหน่วยวัดเป็นวัตต์ชั่วโมง (Wh) หรือยูนิต ใช้แทนด้วยตัว W
   6. ไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟฟ้าช็อต หมายถึงการที่ไฟฟ้าไหลผ่านจากสายไฟฟ้าเส้นหนึ่งไปยังอีกเส้นหนึ่ง โดยไม่ผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดใดๆ    สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากฉนวนของสายไฟฟ้าชำรุด และมาสัมผัสกันจึงมีความร้อนสูง มีประกายไฟ ทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ถ้าบริเวณนั้นมีวัสดุไวไฟ
   7. ไฟฟ้าดูด หมายถึงการที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย ซึ่งจะทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง หัวใจทำงานผิดจังหวะ เต้นอ่อนลงจนหยุดเต้น      และเสียชีวิตในที่สุด แต่อย่างไรก็ตามความรุนแรงของอันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของกระแส เวลาและเส้นทางที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
   8. ไฟฟ้ารั่ว หมายถึงสายไฟฟ้าเส้นที่มีไฟจะไหลไปสู่ส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าถ้าไม่มีสายดินก็จะทำให้ได้รับอันตรายแต่ถ้ามีสายดินก็จะทำให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลอยู่นั้นไหลลงดินแทน
   9. ไฟฟ้าเกิน หมายถึงการใช้ไฟฟ้าเกินกว่าขนาดของอุปกรณ์ตัดตอนทางไฟฟ้า ทำให้มีการปลดวงจรไฟฟ้า อาการนี้สังเกตได้คือจะเกิดหลังจากที่ได้เปิดใช้ไฟฟ้าสักครู่ หรืออาจนานหลายนาทีจึงจะตรวจสอบเจอ
สูตรกระแสไฟฟ้า


แรงดันทางไฟฟ้า  มีหน่วย เป็น โวลท์
ความต้านทานไฟฟ้า  มีหน่วยเป็น  โอห์ม
กระแสไฟฟ้ามีหน่วยเป็น  แอมป์แปร์
พลังงานไฟฟ้า  มีหน่วยเป็น วัตต์

วิธีหาค่าไฟในบ้าน

วิธีคำนวณค่าไฟฟ้าภายในบ้านมีวิธีการคำนวณค่าไฟฟ้าดังนี้
ก่อนอื่นต้องทราบจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอยู่ในบ้านก่อนว่ามีจำนวนเท่าใดและเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ะชนิดกินไฟเท่าไร สามารถสังเกตุได้จากคู่มือการใช้งานหรือแถบป้ายที่ติดกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เขียนว่า กำลังไฟฟ้า ซึ่งมีหน่วยเป็นวัตต์ ( Watt)
หลังจากนั้นลองคำนวณดูว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดที่ใช้งานในแต่ละวันกินไฟวันละกี่ยูนิต และนำมาเปรียบเทียบกับอัตรา ค่าไฟฟ้าโดยสามารถคำนวณได้จากสูตรต่อไปนี้
การใช้ไฟฟ้า 1 หน่วยหรือ 1 ยูนิต คือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาด 1000 วัตต์ที่ใช้งานในหนึ่งชั่วโมง
1 ยูนิต = [ กำลังไฟฟ้า(วัตต์) ของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคำนวณ/1000 ] x จำนวน เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคำนวณ x จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานในหนึ่งวัน
ตัวอย่าง บ้านอยู่อาศัยของท่านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ในบ้าน 5 ชนิด เราสามารถคำนวณการใช้ไฟฟ้าได้ ดังต่อไปนี้
1. หลอดไฟฟ้าขนาด 36 วัตต์ (รวมบาลาสต์อีก 10 วัตต์ เป็น 46 วัตต์ ) จำนวน 10 ดวง เปิดใช้งานวันละ 6 ชั่วโมง
ใช้ไฟฟ้าวันละ [46 /1000] x 10 x 6 = 2.76 หน่วย หรือเดือนละ (30x 2.76 ) = 82.8 หน่วย หรือประมาณ 83 หน่วย
2. หม้อหุงข้าวขนาด 600 วัตต์ จำนวน 1 ใบเปิดใช้งานวันละ 30 นาที ( 0.5 ชั่วโมง ) ใช้ไฟวันละ 600 /1000 x 1 x 0.5
= 0.3 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x 0.3 ) = 9 หน่วย
3. ตู้เย็นขนาด 125 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งาน 24 ชั่วโมง สมมติคอมเพรสเซอร์ทำงานวันละ 8 ชั่วโมงใช้ไฟวัน
ละ [125/1000] x 1 x 8 = 1 หน่วย หรือประมาณเดือนละ ( 30 x1) = 30 หน่วย
4. เครื่องปรับอากาศ ขนาด 20,000 บีทียู (ประมาณ 2,000 วัตต์ ) จำนวน 1 เครื่อง เปิดวันละ 12 ชั่วโมง สมมุติคอมเพรส
เซอร์ทำงานวันละ 6 ชั่วโมง ใช้ไฟฟ้าวันละ [2000/1000] x 1 x 6 = 12 หน่วย หรือประมาณเดือนละ ( 30 x 12 ) = 360
หน่วย
5. ทีวีสี ขนาด 100 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 4 ชั่วโมง [100/1000 ]x 1 x 4 = 0.4 หน่วย หรือประมาณ เดือน
ละ (30 x0.4 ) = 12 หน่วย
รวมการใช้ไฟฟ้าในบ้าน ประมาณเดือนละ 83+9+30+360+12 = 494 หน่วย
เมื่อทราบจำนวนยูนิตแล้วท่านสามารถคำนวณค่าไฟฟ้าได้โดยเปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าได้ดังนี้
ประเภท1.1 การใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน
5 หน่วย (หน่วยที่ 1-5 ) เป็นเงิน 0.00 บาท
10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 6-15 ) หน่วยละ 1.3576 บาท
10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่16-25 ) หน่วยละ 1.5445 บาท
10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 26-35 ) หน่วยละ 1.7968 บาท
65 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 36-100) หน่วยละ 2.1800 บาท
50 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 101-150) หน่วยละ 2.2734 บาท
250 หน่วยต่อไป(หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 2.7781 บาท
เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป ) หน่วยละ 2.9780 บาท
ค่าบริการรายเดือน เดือนละ 8.19 บาท
ประเภท 1.2 การใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน
150 หน่วยแรก (หน่วยที่ 1-150 ) หน่วยละ 1.8047 บาท
250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151-400)หน่วยละ 2.7781 บาท
เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป ) หน่วยละ
2.9780 บาท
ค่าบริการรายเดือน เดือนละ 40.90 บาท
วิธีคิดค่าไฟฟ้า
จากการคำนวณขางต้นปรากฏว่าใช้ไฟฟ้าไป 494 หน่วยตามตัวอย่างซึ่งจัดให้เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 1.2
150 หน่วยแรก ( 150 x 1.8047 บาท ) 270.71 บาท
250 หน่วยต่อไป (250 x 2.7781 บาท) 694.53 บาท
ส่วนที่เกินกว่า 400 หน่วย( 494-400 = 94 x 2.9780 บาท) 279.93 บาท
ค่าบริการรายเดือน 40.90 บาท
รวมเป็นเงิน 1,286.07 บาท
คิดค่า FT ( Energy Adjustment Charge) หรือค่าไฟฟ้าผันแปร ในแต่ละเดือนโดยดูได้จากใบเสร็จรับเงิน หรือสอบถาม
จากได้การไฟฟ้าฯ การคิดค่า Ft คิดได้โดยการนำเอาค่า Ft ในแต่ละเดือน x จำนวนหน่วยที่ใช้
ค่า Ft เดือน พฤษภาคม 2544 = 24.44 สตางค์ ต่อหน่วย
คิดค่า Ft 494 x 24.44 สตางค์ = 120.73 บาท
รวมเป็นเงิน (1,286.07 + 120.73 ) = 1,406.80 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% = 98.48 บาท
รวมเป็นเงินค่าไฟฟ้าที่ต้องชำระทั้งสิ้น = 1,505.25 บาท

อ้างอิง
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เรื่อง คำแนะนำด้านความปลอดภัย อุปกรณ์ไฟฟ้า
เรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า
https://krootewan2013.wordpress.com/2013/11/05/
รีซิสเตอร์
http://www.oknation.net/blog/pohthai/2012/04/27/entry-1
ทรานซิสเตอร์
https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet7/trans.htm

By เด็กหญิง สิริอาภา ตากลม  ม.3/12  เลขที่28  โรงเรียนสตรีชัยภูมิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น